สวัสดีค่าาา...สวัสดีเพื่อนๆชาว theTripPacker ทุกท่าน เนื่องจากรีวิวนี้เป็นรีวิวแรก ผิดพลาดตกหล่นอะไรไปขออภัยด้วยนะค่ะ เล่าเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ แชร์ข้อมูล สำหรับใครที่กำลังหาสถานที่ท่องเที่ยวในวันหยุด เดินทางสะดวก และไม่ไกล แนะนำเล้ย...จังหวัดจันทบุรีและจังหวัดระยอง สองจังหวัดที่ใกล้กันมาก และมีแหล่งท่องเที่ยวสวยๆ รอเราอยู่ 2 วัน 1 คืน จะเที่ยวอะไรได้บ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ ^^

EVERY BODY >__________< LET'GO NOW !!!!!


ทริปนี้เราออกเดินทางเมื่อวันที่ 18-19 มิถุนายน ที่ผ่านมา Start ไปพร้อมสายฝน ชุ่มช่ำตลอดการ เดินทาง เนื่องจากเป็นช่วงมรสุมเข้าไทยพอดิบพอดี (เกิ๊น) รถพร้อม คนขับพร้อม เพื่อนพร้อม เราก็พร้อม ลุยสิฮะ!! ไม่รออะไรแล้ว 555

ล้อหมุนออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้ายิงขึ้นมอเตอร์เวย์ไปลงระยอง ขาเข้าตัวเมืองรถติดนิดนึงค่ะเนื่องจากอยู่ในช่วงทำถนน หลุดออกมาก็โล่งแล้วค่ะ ถึงตรงนี้ประมาณ 8 โมงพอดี ฟ้าไม่มีฝนแล้วค่ะ ฟ้าเปิดทางให้เราแล้ว ฮี่ฮี่ 

มื้อเช้าเราแวะฝากท้องกันที่ “ร้านก๋วยเตี๋ยวนายเคี๊ยมเกี๊ยวปลา" อยู่ซอยเทศบาล 2 อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เลี้ยวเข้าซอยมานิดนึง เจอเลยค่ะมีป้ายบอก ที่ร้านไม่มีที่จอดรถนะค่ะ หาจอดตามถนนสองข้างทางเอา ร้านเป็นตึกแถวสามคูหา เป็นร้านเกี๊ยวปลาในตำนานของอำเภอแกลง เก่าแก่และขายมานานกว่า 60 ปีแล้ว เราไปถึงเขาเพิ่งจะเปิดร้านเอง ในส่วนของหน้าร้านเขาจะนึ่งเกี๊ยวขายโชว์ไว้ในตู้ มันเยอะมาก (ก.ไก่ล้านตัว) เดินเข้ามาเจอป้ายเมนูขนาดใหญ่ มองวนไปค่ะ กินอะไรดี มันเยอะมากจริงๆ

 เราสั่งกันไปคนละชาม มีจานที่กินรวมกันอีกชาม

หน้าตาทุกชามจะใส่เหมือนๆ กันค่ะโดยเฉพาะชามที่มีเกี๊ยวจะใส่กุ้งชุปแป้งทอดกรอบและกระดูกหมูชิ้นใหญ่ใส่เข้ามาด้วยส่วนชามที่เป็นปลาเส้นจะไม่ได้กุ้งทอดและกระดูกหมูค่ะ โดยรวมแล้วอร่อยค่ะเกี๊ยวให้มาชิ้นใหญ่สะใจมาก เหมือนจะไม่อิ่ม แต่โคตรอิ่มค่ะ เบ็ดเสร็จรวมค่าเสียหายมื้อนี้ 200 บาท ตกชามละ 50 บาทเท่านั้น

อิ่มคาวจนได้ที่แล้วเราก็กด GPS ไปเช็คอินกันต่อที่ร้านกาแฟแห่งใหม่ Coffee cove

ร้านจัดอยู่ในส่วนของรีสอร์ท Peggy cove แต่รีสอร์ทจะอยู่ทางด้านหลังค่ะ ด้านหน้าจะเป็นร้านกาแฟ

 ร้านอาหารสไตล์อิตาเลี่ยน แล้วก็เป็นจุดบริการลูกค้าที่จะเข้าพักกับทางรีสอร์ทคะ

  

ภายในร้าน Coffee cove ไม่ใหญ่มาก ขนาดกะทัดรัด บรรยากาศร้านตกแต่งได้น่ารักค่ะ

   

 มีมุมถ่ายรูปเยอะ ติดทะเล ขนมอร่อย ราคาคุ้มกับบรรยากาศอยู่คะ

   

ทางร้านมีจุดชมวิวบนประภาคารด้วย ขึ้นไปเก็บภาพสักหน่อยละกัน !!!!!!

 

มองเห็นวิวได้รอบๆ 360 องศาเลยคะ

 ขาลงแอบขาสั่นนิดๆ เนื่องจากขึ้นมาสูงอยู่เหมือนกัน ^^ ขับรถเลยไปอีกนิดเดียวเราก็จะผ่านหาดคุ้งวิมาน ตัวถนนนี่โค้งไปตามภูเขา สวยงามมากค่ะ และเลยไปอีกหน่อยจะถึง "จุดชมวิวเนินนางพญา" ที่ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องแวะลงมาแชะกัน 

เราลงไปกดรูปกันรัวๆ เลยค่ะ

        

            ว่าแล้วก็กด GPS ไปต่อกันที่ เขาบ่อเตยคะ โขดหินสีชมพู ตามรอยกระทู้พันทิพย์มาล้วนๆคะ ตรงจุดนี้เราจะเสียค่าเข้า คนละ 20 บาท สอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ตรงจุดบริการนักท่องเที่ยวว่าเราต้องเดินเข้าไปไกลไหม เขาบอกจะมีทางเดินให้เลือกอยู่สองทาง คือทางเดินเลาะเรียบชายทะเล กับเดินขึ้นเขาค่ะ เขาแนะนำให้เดินขึ้นเขาจะใกล้กว่า เพราะมันจะมีทางลงไปถึงจุดถ่ายรูปกับโขดหินสีชมพูได้เลย โดยมีน้องหมาทะเล เป็นเจ้าถิ่นนำทางคะ น่ารักมาก

 

ตัดสินใจเดินขึ้นกันไป 1 กิโล มีความชัน มีความหอบ มีความกระหายน้ำ - -"

ฮ๊ายยยย...โขดหินสีชมพูอยู่หน๋ายยยยยยยยยยยย !!!! ความรู้สึกเหมือนเจอทางตัน

 

ถามกันว่าจะเอายังไงดี เราจะลงไปเดินเลาะเรียบชายทะเลกัน ไหวไหม เราศูนย์เสียน้ำในร่างกายไปเท่าไหร่ แค่นี้ไม่ท้อหรอกแกร๊ เพราะอากาศเริ่มจะร้อน บวกกับที่ฝนเพิ่งหายด้วย มันก็เลยอบอ้าว เหงื่อนี่ไหลเป็นก๊อกเลยคะ แต่ไม่เป็นไร เดินขึ้นมาแล้วอย่าให้เสียเปล่า เราเก็บวิวบนเขาบ่อเตยมาแทนค่ะ

นี่คือวิวที่อยู่ตรงหน้าเราคะ มองเห็นทะเลได้กว้างเหมือนกัน 

ส่วนนี่วิวด้านหลัง สวยไปอีกแบบค่ะ

 

เดินลงเขากันมาแบบผิดหวังแล้วเดินเลาะเรียบชายทะเลกันต่อ เอาจริงๆคือวันที่ไปมีแต่เราสามคนที่ขึ้นมา ไม่มีใครให้คำตอบเราได้ต่อ ถ้าจะลงไปถามเจ้าหน้าที่ก็เดินไกลเอาเรื่องอยู่ ตอนนั้นเราคิดไปไกลเลยว่าเขาบอกทางเราผิดรึเปล่า แต่ตอนขึ้นมันก็มีรูปติดไว้ว่ามีคนไปถ่ายบนโขดหินสีชมพูนิหน่า หลายความคิดแล่นอยู่ในหัว จนกลับมานั่งเขียนรีวิวแล้วลงในพันทิพย์ มีผู้หวังดีมาให้คำตอบเราว่าจริงๆแล้ว ถ้าขึ้นไปถึงแล้วเดินผ่านศาลาไปทางซ้าย เดินเลยไปหน่อยก็จะเจอทางลงไปถึงโขดหินสีชมพูได้ เป็นทางลงเล็กๆแคบๆ ใครไม่สังเกตก็มองไม่รู้เลยจริง มารู้ทีหลังก็โคตรเสียดาย คือมันห่างแค่เพียงเอื้อมมือจริงๆ แง้ T________T

เดินเข้าไปถึงได้แค่ครึ่งทาง จริงๆระยะทางมันก็พอๆกับที่เราขึ้นเขามา แต่มันจะช้ากว่าเพราะต้องเดินลัดเลาะเรียบชายหาด ใช้เวลาเดินประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ จากที่สอบถามกับทางเจ้าหน้าที่มานะค่ะ

         

          แต่เราไม่ไหวแล้วคะ ขอบายกับอากาศ ณ เวลานั้นเป็นเวลาเกือบจะบ่ายสองแล้ว เก็บภาพได้พอหอมปากหอมคอ เนื่องจากเวลาเรามีจำกัดบ๊ายบายนะ เขาบ่อเตย ไว้คราวหลังจะมาอยู่เก็บภาพให้นานกว่านี้.

        ร้อนๆ แบบนี้ไปต่อกันที่ น้ำตกพลิ้ว กันดีกว่า เสียค่าเข้า 40 บาทคะ เดินเข้า 500 เมตร หรือถ้าขี้เกียจเดินเขาก็มีบริการนั่งรถกอล์ฟ แต่เสียตังค์คนละ 10 บาทแหนะ เดินดีกว่าค่ะ เสพบรรยากาศกันไปเพลินๆ

     

น้ำใสไหลเย็น เห็นตัวปลาเป็นๆ

 

บ้างก็เอาขาจุ่มให้ปลาตอดเท้าก็มี ได้ฟิลแบบทำสปาเท้าอะไรแบบนี้เลย

อยู่ให้ธรรมชาติบำบัด พักอยู่ได้แค่ครึ่งชั่วโมง เราก็ต้องรีบกลับไปเช็คอินเข้าที่พักของเราค่ะ ระยะทางจากน้ำตกพลิ้วไปที่พักก็ราว 1 ชั่วโมงคะ

แล้วเราก็เดินทางมาถึงที่พักของเรา "บ้านต้นน้ำจันทร์ โฮมสเตย์" เลือกที่นี่เพราะเห็นรีวิวน่าสนใจดีค่ะตามรอยมาล้วนๆ สภาพฟ้าและแดดเวลา 5 โมงเย็นมันยังแรงพอให้เราได้กระโดดเล่นน้ำให้ชุ่มปอด คลายร้อนลงไปสักหน่อย หลังจากเหนียวตัวมาทั้งวัน

   

            ทันเล่นน้ำตกกันได้แค่ครึ่งชั่วโมงก่อนฟ้าจะมืด เล่นเสร็จก็หิวเลยค่ะ ท้องร้องจ๊อกๆ รีบขึ้นมากินข้าวที่ทางที่พักจัดเตรียมไว้ให้ในราคาหัวละ 800 บาท รวมค่าห้องบวกค่าอาหารสองมื้อเช้าเย็นแล้วนะคะ โซนที่เราพักจะเป็นห้องพักแบบแบ่งเป็นห้องๆคะ ลืมถ่ายภายในห้องพักมาให้ดู ต้องกราบขออภัยด้วยคะ ที่เป็นห้องเพราะเราไปกันแค่สามคนเลยได้แบบเป็นห้องค่ะ ส่วนใครที่จะมาเป็นหมู่คณะเขาจะจัดให้บ้านหนึ่งหลังไปเลย แล้วแต่จำนวนคน มีบ้านที่ติดน้ำตกด้วย บรรยากาศดีสุดๆ แถมตอนกลางคืนเขาเปิดไฟตรงน้ำตก สว่างจ้าเลยคะ คลายความน่ากลัวลงไปได้บ้าง แต่จะขอเล่าคร่าวๆว่าภายในห้องพักใหญ่และกว้างมาก เอาจริงๆคือนอนได้ถึง 5-6 คน มีทีวีแบบติดผนัง ห้องน้ำ ฟูก หมอน และผ้าห่มแบบบางเฉียบ (คือนึกว่านอนห่มผ้าเช็ดตัวอะ) แล้วคือเป็นห้องแอร์ เอาไม่อยู่จริงๆค่ะ บรึ๋ยยยยยยยยย ~

ในส่วนของอาหารนั้น เขาจะจัดโต๊ะเตรียมไว้ให้เราหน้าห้องพักเลยคะ และนี่ก็คือหน้าตาอาหารมื้อเย็นของเรา สไตล์ไทยบ้านๆมีชุดผักสดจิ้มกับน้ำพริกกะปิ ชะอมชุปไข่ทอด ปลาทูทอด เส้นจันท์ผัดปู แกงหมูชะมวง กะเพราไก่บ้าน ข้าว 1 โถ น้ำแข็ง 1 กระติก น้ำดื่ม 3 ขวด ส่วนผลไม้จะเป็น ทุเรียน ลองกอง มังคุด

  ปล.อาหาร เครื่องดื่ม ผลไม้ทุกอย่าง เราขอเพิ่มเขาก็มีบริการค่ะ แต่รอบนี้เสียตังค์นะจ๊ะ

โดยรวมแล้วรสชาติอาหารดีทีเดียวค่ะ บวกกับบรรยากาศได้ยินเสียงน้ำตกอยู่ใกล้ๆ มันคลาสิกดีค่ะ ตัดภาพมาที่เราสามคนนั่งมองหน้ากัน กินกันไม่หมดจริงๆคะ เสียดายมั้ย เสียดายนะ คงมีแค่ผลไม้ที่เราพอจะห่อกลับไปกินบ้านได้อยู่ อิอิ มีความงก หลังจากกินข้าวอะไรเสร็จ เราก็นอนค่ะ มีความเพลีย มีความเหนื่อยและง่วงหนักมาก โซเชียลหรอ ? อย่าหวัง !!! ไม่ได้เล่นเลยค่ะ พอเข้ามาที่พักก็เริ่มไม่มีสัญญาณแล้ว ธรรมชาติสุดๆ ที่นี่มี Wifi นะ แต่ไม่แรงเลยคะขึ้นมาแค่ขีดเดียว คนคงเล่นกันเยอะเลยดึงสัญญาณกัน ขอนอนดีกว่าคะ รู้สึกตัวอีกทีก็ 6 โมงเช้า เพราะได้ยินเสียงเขามาจัดเตรียมอาหารเช้าหน้าห้องพักเราค่ะ มื้อเช้าที่นี่จะเป็น กาแฟ โอวัลติน และข้าวต้มหมูหนึ่งหม้อคะ 

อาบน้ำแต่งตัวกันเบ็ดเสร็จเช็คเอ้าท์ออกจากที่พักกัน 9 โมงเช้าคะ มุ่งหน้าไป "อาสนวิหารพระนางมารีอาปฎิสนธินิรมล" กว่าจะถึงโบสถ์ก็เกือบๆ 10 โมงกว่าแล้ว โชคไม่ดีเราไปตรงวันอาทิตย์พอดีเขามีทำพิธี เลยอดเข้าไปดูด้านใน เพราะทุกวันอาทิตย์เขาจะมีทำพิธี "มิสซา" เพื่อระลึกถึงชีวิตและคำสอนของพระเยซู แต่ไม่เป็นไรคะ เก็บแค่ด้านนอกก็เหลือๆแล้วคะ ด้านในก็คงสวยไม่แพ้กัน 

       

เก็บรูปได้ตามสมควรแล้ว อากาศวันนี้คือฟ้าเปิดกว่าเมื่อวานคะ สดใสซาบซ่ามากกกกกกกกกกกก (ก.ไก่ล้านตัว) แดดก็แรงมากเช่นกัน (ถ้าถามว่าร้อนมั้ย ขอตอบเลยว่าไหม้) ไม่หลงเหลือแล้ว.....ผิวฉ๊านนนนนนนนน - -" ก่อนที่จะเลี้ยวออกจากซอย เราเหลือบไปเห็นร้านเปาะเปี๊ยะอยู่เจ้านึง เห็นตั้งแต่เลี้ยวเข้าซอยละ ขากลับเลยแวะซื้อก่อนเดินทางต่อจะเป็นร้านแบบนั่งกินที่ร้านได้ ขายเปาะเปี๊ยะอย่างเดียวล้วนๆไม่มีวัวผสม มีทั้งแบบสดและแบบทอด แล้วแต่เราจะเลือกซื้อ แต่เราเลือกแบบทอดมาลอง เพราะเห็นเขากำลังทอดเสร็จใหม่ๆ ดูท่าทางกรอบน่าดู สั่งเลยจ้า ขายอยู่ที่กล่องละ 40 บาท คุ้มมากกับเงินที่เสียไป มันอร่อยสุดอะ น้ำจิ้มเด็ดดวงมาก ตัวไส้ก็เริ่ด แถมผักสดมาให้กินแกล้ม เข้ากั๊นนนนนน.....เข้ากัน ใครที่ผ่านไปแถวนั้น ก็ลองแวะซื้อมากินดูนะคะ อร่อยบอกต่อเลย

เป้าหมายต่อไปของเราก็คือ ทุ่งโปร่งทอง ปากน้ำประแสร์ จังหวัดระยอง ทุ่งที่กำลังได้รับความนิยม เป็นอย่างมาก ไม่รอช้ารีบบึ่งรถไปให้ไวเลยค่าาาาาาา

เรามาถึงกันตอนเที่ยงๆคะ ทางเดินเข้าจะเป็นสะพานไม้ทอดยาวไปตลอดระยะทางก็ 2 กม. และริมสองข้างทางนั้นเป็นป่าชายเลน 

 

เป็นแหล่งศึกษาธรรมชาติที่ดีทีเดียวคะ เดินเข้ามาแค่ 200 เมตร เราก็พบ แทน แท่น แท๊นนนนนน "ทุ่งโปร่งทอง" นี่งายจะใครล่ะ 55555555 คือสวยมากกกกกกกกกกกก ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ

  

เนื่องจากทุ่งมีลักษณะใบโปร่งสีเขียวอมเหลืองทองตัดด้วยเขียวเข้มของใบโกงกาง ที่เป็นพุ่มล้อมอยู่รอบๆ มองดูแล้วสบายตาสุดๆ 

 

แต่จะสบายมากกว่านี้ ถ้าเวลานี้มันไม่ใช่เที่ยงตรง ค่าาาาา ใช่ค่าาาาา ต้องสตรองแค่ไหนถามใจดู ยืนถ่ายรูปกลางแดดระดับความร้อนทำลายล้างโลกได้ จำเป็นต้องร้อนเบอร์นี้เลยหรอ 5555555555 แต่จุดนี้เป็นจุดที่คนมายืนถ่ายรูปเยอะ เพราะวิวดีสุดแล้วคะ และคงจะสร้างความประทับใจให้กับคนที่มาเที่ยวไม่มากก็น้อย

     

ถ่ายจุดนี้จนหนำใจแล้ว เราก็เดินกันต่อค่ะ ไปค่ะ....เดินวนไปค่ะ เดินกันแบบ non-stop

อยากแวะถ่ายมุมไหนเราก็แวะ อยากนั่งพักตรงไหน เราก็พักค่ะ

  

เดินกันจนมาถึงต้นไม้ใหญ่ เดินตามหานานอยู่คะ กว่าจะถึง บ่นมาตลอดทาง เมื่อไหร่จะถึง 

ถึงแล้ว......ไม่รอช้า จัดรูปไปตามระเบียบ 

  

หลังจากจุดนี้เราก็เดินกันต่อยาวๆแล้วคะ มีพักเหนื่อยกันบ้าง ถ่ายวิวบ้าง เก็บบรรยากาศตามสองข้างทางที่เราเดินผ่านมา 

     

กว่าจะถึงทางออกนี่เล่นเอาลิ้นห้อยกันเป็นแถวๆเลยค่ะ น้ำดื่มเราก็ไม่ได้พกติดกันมาด้วย ทางออกจะมาโผล่ตรงเรือรบประแสร์เลยค่ะ มีบริการรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง ใช่ค่ะ!!! เราคงไม่เดินกลับไปแน่นอน เราต้องวนไปเอารถค่ะ รถจอดอยู่แถวๆจุดแรกที่เราเดินเข้ากันมานั้นแหละค่ะ คุณผู้ช๊มมมม...คุณลุงคนขับคิดเราคนละ 30 บาท ณ จุดๆนี้กี่บาทก็จ่ายค่ะ 555 ลุงแกบริการดีจริงๆส่งยันหน้าประตูรถ ขึ้นรถกันมาได้ก็เปิดแอร์เบอร์แรงสุด แขนฉัน ขาฉัน ไหม้เป็นที่เรียบร้อย น้ำตาซึมออกมาเล็กน้อย แพลนเราจริงๆคือ เราจะไปเก็บเขาแหลมหญ้ากันต่อ แต่ร่างกายมันขอไม่ไปต่อ เพราะเวลาก็ล่วงเลยมาประมาณบ่ายสองโมงแล้วคะเกรงว่ากว่าจะไปถึง กลัวเก็บอะไรได้ไม่เยอะ กลัวจะดึกกันด้วยกว่าจะถึงบ้าน เพราะเป็นเย็นวันอาทิตย์ ขาเข้ารถคงเยอะแน่นอน ถ้าไม่รีบกลับตอนนี้ เย็นกว่านี้ติดแง่กแน่ๆจ๊ะ วันจันทร์เช้าทำงานอีก เลยตกลงกัน โอเคกลับก็กลับนะ

***ทริปนี้เราหมดไปคนละ 2,000 บาท

รวมค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน ค่ากิน ค่าที่พัก ค่าเข้าที่เที่ยวทุกอย่าง***

ถือว่าเป็นเรื่องราวดีดี เอ๊ะ !!! ประโยคคุ้นไปมะ ก็ถือว่าเป็นอีกทริปที่ประทับใจค่ะ เพราะเป็นครั้งแรกที่ไปเที่ยวที่จังหวัดจันทบุรีกับเพื่อนๆ ที่ร่วมชะตากรรมด้วยกัน เฮ้ย !!!! ที่ไปด้วยกัน เหนื่อยด้วยกัน เฮไหนฮานั่น มีแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มตลอดการเดินทาง ไม่เคยได้หลับเลยบนรถ เพราะว่าหลงทางกันมั่ง บางที Map ก็เชื่อไม่ค่อยจะได้ แต่เราก็ไปถึงตลอด 

นี่แหละ !!!!! "เสน่ห์ของการเดินทาง"

"ทุกครั้งที่ได้ออกเที่ยว มักจะมีอะไรดีดีรอเราอยู่ข้างหน้าเสมอ ออกไปเถอะคะ ไปเปิดประสบการณ์ ไปเห็นด้วยตาของตัวเอง" 

ขอจบรีวิวเพียงเท่านี้นะคะ ทริปหน้าเจอกันใหม่ SEE YOU AGAIN สวัสดีค่ะ