สอยมาแล้ว ภูสอยดาว
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากเพื่อนที่ไปถ่ายรูปด้วยกันบ่อยๆ "เห้ย ไปภูสอยดาวกัน" ในใจผมคิดว่ามันคงไปไม่ไกล เหมือนไปต่างจังหวัดธรรมดาเหมือนทุกที "เออ ไปๆ" ผมรีบตอบตกลง เพราะถ้าไม่ไปกับเพื่อนที่ถ่ายรูปด้วยกัน คงไม่มีโอกาสได้ไปอีกแน่นอน หลังจากตัดสาย ผมรีบค้นหาข้อมูลภูสอยดาวทันที "โอ้โห เดินเท้า 4-6 ชั่วโมง" เอาวะ อย่างน้อยก็มีโอกาสเตรียมตัว เตรียมใจไป
ทริปนี้เป็นทริปที่ 2 ในชีวิตของผมที่เดินขึ้นเขาเป็นเวลานาน ทริปแรกคือดอยม่อนจอง ซึ่งพวกผมขึ้นไปแบบไม่มีการเตรียมตัวมาก่อนเลย ทำให้ได้บทเรียนอันเจ็บปวดกลับมาแก้ตัวในทริปต่อๆ ไปได้
เราตกลงวันเดินทางกันคือ ไปวันที่ 29 ตุลาคม 2558 โดยพักที่อุทยานก่อน 1 คืน และอีกคืน ขึ้นไปนอนบนลานสนที่ภูสอยดาวกัน
เนื่องจากผมเหนื่อยล้าจากการเพิ่งกลับจากการเดินทางหลายจังหวัดมา จึงไม่มีเวลามาฟิตซ้อมร่างกายเหมือนคนอื่นเขา ทำให้ผมทำใจไว้แล้วว่า ต้องเหนื่อยมากแน่ๆ แต่เอาวะ ไงๆ ก็ต้องสู้
เกริ่นซะยาว พวกผมออกเดินทางจาก จ.เชียงใหม่ประมาณ 10 โมง ทริปนี้ไปกัน 6 ชีวิต โดยมีชาวแคนาดาที่เป็นเพื่อนของเพื่อน มาเที่ยวพอดีก็เลยชวนไปด้วยกันอีก 2 คน เดินทางจากเชียงใหม่ไปจ.อุตรดิตถ์
แวะทานข้าวที่เขื่อนสิริกิต์ ซึ่งตอนแรกเราดูจาก google map เห็นว่าเป็นทางผ่าน แต่ระยะทางยังไปอีกไกล กว่าจะถึงอุทยานฯแชะจากหลังที่กินข้าวมานิดหน่อย อิ่มแล้วก็เดินทางต่อ พวกเราไปถึงที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 6 โมงเย็น ใช้เวลาพอสมควร ในการเดินทาง เนื่องจากเป็นวันธรรมดา (วันพฤหัสบดี) ทำให้การชำระค่าเข้าอุทยานได้ส่วนลด 50% ส่วนชาวต่างชาติคิดคนละ 200 บาท
เพื่อนผมได้ทำการจองที่พักผ่านอินเตอร์เน็ตไว้แล้วเป็นบ้านพัก 1 หลัง มี 6 เตียง 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พอดีคน ในราคา 700 บาทต่อคืน มีน้ำอุ่น และที่สำคัญมี wifi ในจุดให้บริการที่พักให้ใช้ ซึ่งบริเวณนั้น คลื่นโทรศัพท์มีแต่ของ True คลื่นเดียว แย่งกันใช้มากๆ เพราะเพื่อนร่วมทริปไม่มีใครใช้ True กันเลย
สัมภาระที่เราให้ลูกหาบนั้น พวกผมซึ่งเคยเดินขึ้นดอยม่อนจองกันนั้นเข็ดกับการแบกกระเป๋าเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเอง จึงให้ลูกหาบขนขึ้นไปให้ รวมกัน 3 คนประมาณ 40 กว่ากิโล *0* โดยมีอุปกรณ์กล้องอาหารและเครื่องนอน ส่วนอีก 3 คนนั้นแบกกันขึ้นไปเอง ส่วนเราตากล้องเอาไปแต่กล้องกับเลนส์คนละ 1 ตัว
ค่าสำภาระที่จะให้ลูกหาบนำขึ้นไป กิโลกรัมละ 35 บาทนะครับ (ต่อเที่ยวนะครับ ขาขึ้น ไม่รวมกับ ขาลง )
ส่วนเครื่องนอน หากท่านใดไม่ได้นำเต๊นท์ หรือถุงนอนมาเอง ทางอุทยานมีให้เช่า เซ็ทสำหรับ 3 ท่าน มีเต๊นท์ ถุงนอน และที่รองนอน 900 บาทต่อเซ็ท ไม่แพงครับ กว้างขวาง และ กันหนาวได้เป็นอย่างดี
ส่วนอุปกรณ์ประกอบอาหาร ก็มีให้เช่าเหมือนกัน ราคาไม่แพงและไม่ต้องแบกขึ้นไปเพราะ ด้านบน เจ้าหน้าที่มีเตรียมไว้ให้เช่าและลงมาจ่ายเงินด้านล่างครับ
สิ่งที่จำเป็นต้องใช้คือ ถังน้ำ ขันน้ำ ถ่าน หม้อสำหรับต้ม เตา 3 ขา (ถังน้ำไว้สำหรับตักน้ำที่เจ้าหน้าที่เตรียมให้มาประกอบอาหาร หรือเข้าห้องน้ำนะครับ)
รถที่จะพาเราไปจุดเริ่มต้นซึ่งก็คือน้ำตกภูสอยดาว ก่อนถึงที่ทำการอุทยานฯ ครับ
สำหรับด้านบนลานสน หากท่านไม่ได้นำน้ำดื่มขึ้นมาเพียงพอ เจ้าหน้าที่จะมีบริการน้ำไว้ให้ ซึ่งหากไม่ผ่านการต้ม ไม่แนะนำให้ดื่มเป็นอย่างยิ่ง ควรนำไปต้มก่อนดื่มหรือประกอบอาหารนะครับ แนะนำให้ลูกหาบขนน้ำขึ้นไปให้หรือเช่ากาต้มน้ำเอาครับ
เริ่มเดินทางที่แรกที่เห็นก็คือน้ำตกภูสอยดาวที่ใครๆ มาก็ต้องแวะถ่ายรูปไว้ สำหรับพวกผม พกกล้องเลนส์แค่อย่างเดียว ขาตั้งกล้อง ให้ลูกหาบแบกไปแล้ว ก็ถ่ายมาขำๆ ครับ
ระหว่างทาง ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ มีให้เห็นเรื่อยๆ เห็นแล้วสดชื่นครับ แต่แรงขากลับไม่สดชื่นตาม
ไม่ได้ถ่ายรูปเส้นทางเนินมรณะไว้ ในใจมัวแต่คิด ที่นี่โหดสึส.. แต่ระหว่างทางขึ้นนั้น มีวิวสวยๆ ที่มองด้านบนลงไป สวยมากๆ
เมื่อมาถึงยอดดอยก็เดินเลยไปอีกหน่อยก็จะถึงลานสนซึ่งพวกเพื่อนผมที่มาถึงก่อนเกือบ 1 ชม. ได้ติดต่อกางเต๊นท์ คุยกับเจ้าหน้าที่ไว้เรียบร้อยแล้ว ด้วยความเหนื่อยพอไปถึงตรงนั้นผมวางกล้องไม่หยิบขึ้นมาถ่ายอะไรเลยครับ
ระหว่างรอลูกหาบพวกผมได้สอบถามเจ้าหน้าที่ถึงคลื่นโทรศัพท์ ได้ความว่าให้ไปตรงหลักกิโลฯ ซึ่งเป็นหลักเขตระหว่างประเทศไทยและลาวครับ ตรงแถวนั้น ต้องเดินหาคลื่นสักระยะถึงจะเจอครับ มีทั้ง Dtac และ AIS
ผมมาแค่ครั้งเดียว(มันไกล) ไม่รู้ว่าถ้ากลับมาจุดนี้อีกครั้งจะมีสัญญาณรึเปล่า
ระหว่างคุยโทรศัพท์ก็แชะรูปเรื่อยๆ ครับ
หลังจากนั้น กลับไปที่พักลูกหาบมาถึงแล้ว กินอาหาร ขนมปัง มาม่า เบาๆ ไปก่อนที่จะไปถ่ายพระอาทิตย์ตกดินที่จุดชมวิว อีกฟากของหลักกิโลฯ ครับ
พระอาทิตย์ กำลังลับฟ้า แต่มองไม่เห็นพระอาทิตย์ครับ เมฆบังหมด แต่เป็นจุดที่สวยจริงๆ ครับ
มาถึงไฮไลท์ (รึเปล่าไม่รู้) ขึ้นชื่อว่าภูสอยดาว ก็จัดการสอยซะเลยครับ
ภาพนี้จากแถวๆ ที่กางเต๊นท์เลยครับช่วงเวลาที่ถ่ายคือประมาณทุ่มกว่าๆ เกือบ 2 ทุ่ม ทางช้างเผือกเริ่มตกแล้วครับ
พาโนรามา 11 ใบ
ผมนั่งคุยกับพี่เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง แกเล่าว่าช่วงวันหยุดปิยะมหาราชที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวขึ้นมากว่า 700 คน โห จะอยู่กันยังไงเนี่ย ตอนที่ผมขึ้นไปมีนักท่องเที่ยวรวมพวกผม 27 คนครับ
ตอนเช้าตั้งนาฬิกาปลุก ตี 5.20 ขอนอนต่อถึง ตี 5.40 เกือบไม่ทันพระอาทิตย์แล้วครับ
เนื่องจากตอนเย็น พวกเพื่อนฝรั่งเดินเล่นเลยจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกไปเรื่อยๆ บอกว่าตรงนั้นสวยมากๆ แกเดินนำเราไปตอนเช้าเพื่อไปจุดๆ นั้น สามารถเดินได้จากจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกมาเรื่อยๆ จะเป็นแนวสันเขานะครับ ไม่ได้ถ่ายรูปมา มีแต่วิวจากจุดที่อยู่บนนั้นครับ
พระอาทิตย์ขี้อายแอบอยู่หลังเมฆอีกแล้วววววว สังเกตุภูเขาลูกนี้ คือ ภูสอยดาวจริงๆ ครับ อยู่ในระดับสูงกว่าน้ำทะเลประมาณ 2000 เมตร เราถามเจ้าหน้าที่บอกว่า ขึ้นไปไม่ได้เนื่องจากช่วงนี้ฝนตก และทางยากลำบากมาก นอนค้างไม่ได้ ใช้เวลาขึ้นลงประมาณ 8 ชั่วโมงครับ
ผมลองสังเกตุดูตั้งแต่วันแรก ภูเขาลูกนี้จะถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกตลอดเวลาเลย
ปิดท้ายทริปด้วยภาพใบนี้ครับ
ใช้เวลาเดินลงประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งครับ เนื่องจากทางลง มันลงอย่างเดียวเลย แต่ต้องระวังตรงเนินมรณะด้วยนะครับ
สิ่งที่ควรเตรียมตัวก่อนขึ้นไป คือ การฟิตร่างกายให้พร้อม อาหารควรเป็นอาหารแห้งนะครับ พวกผมนำอาหารกระป๋องขึ้นไป ทำให้น้ำหนักที่ลูกหาบเยอะขึ้นพอสมควร น้ำดื่ม และเครื่องดื่มต่างๆ ควรนำขึ้นไปเอง เสื้อกันหนาว หมวก และที่สำคัญคือใจครับ ขากลับผมเห็นน้องๆ นักศึกษาขึ้นไปกันเยอะ แม้เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ก็สู้ครับ
สำหรับผมการเดินทางท่องเที่ยวมันทำให้เราได้ประสบการณ์มากมาย ควรไปก่อนที่จะไปไม่ได้นะครับ
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ นี่เป็นการแบ่งปันประสบการณ์การเดินทางครั้งแรกของผม อาจจะไม่ครบบ้าง ตกหล่นบ้าง ไว้คราวหน้าจะทำให้ดีกว่านี้ครับ
สนใจชมภาพใหญ่ๆ เต็มๆ หรือแวะมาพูดคุยกันได้ที่ www.fb.com/armmphoto หรือ www.fb.com/armmz